วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

nanyang

นันยาง




คนไทยคุ้นเคยในชื่อและสัญลักษณ์ข้างต้นมานานกว่า 50 ปีแล้วด้วยผลิตรองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าผ้าใบภายใต้ชื่อ นันยาง ตราช้างดาว ได้รับความนิยมแพร่หลายนับแต่มีการ วาง จำหน่ายในบ้านเรา แม้ว่าเบื้องต้นสินค้าตัวนี้จะมีถิ่นกำเนิดในประเทศสิงคโปร์ แต่ภายหลัง ก็ได้มาอยู่ในการดูแลและเป็นผลิตภัณฑ์ของคนไทยในนาม บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด มีนายห้างวิชัย ซอโสตถิกุล เป็นผู้ก่อตั้ง และมีบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัดเป็นผู้จัดจำหน่าย แต่ผู้เดียว ซึ่งคุณศิรินทร ซอโสตถิกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สองย้อนถึงความเป็นมาดังกล่าวว่า
แรกเริ่มบริษัทฯสั่งผลิตภัณฑ์นี้เข้ามาจำหน่าย ประมาณปี พ.ศ. 2489 ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคด้วยดี ทว่าสมัยนั้นจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่นิยมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยเกี่ยวเนื่อง กับการเสียดุลการค้า บริษัทฯ จึงมีแนวคิดจะผลิตเอง โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานที่มีอยู่ใน ประเทศ ประจวบกับนายห้างวิชัย และ Mr. Soh Koon Choo ประธานบริษัทนันยางเจ้า ของผลิตภัณฑ์รู้จักกันเป็นอย่างดี จึงขอซื้อกรรมวิธีการผลิตจากสิงคโปร์ และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ใช้ชื่อ นันยาง “ตราช้างดาว” เหมือนเดิม ในระยะแรกทางสิงคโปร์ได้ส่งช่างมาประจำ 30 คน จนเมื่อช่างไทยมีความชำนาญจึงกลับไป ซึ่งบริษัทนันยางประเทศสิงคโปร์ก็ได้เลิกผลิตสินค้านี้ในเวลาต่อมาสินค้าในเครือบริษัท นันยางฯ ประกอบด้วย รองเท้าผ้าใบนักเรียน รองเท้าฟองน้ำ รองเท้ากีฬา ซึ่งเอกลักษณ์พื้นเขียวของนันยางได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีทั้งยางรถจักรยาน และ ถุงเท้านักเรียน ไม่เพียงแต่จะนิยมกันในบ้านเราเท่านั้น ในประเทศ ใกล้เคียงก็เป็นสินค้าที่มีจำหน่ายแพร่หลาย
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้บริโภคต่างจดจำได้ดี ว่าชื่อ “นันยาง” ต้องเคียงคู่กันมากับ “ตราช้างดาว” เสมอ สำหรับที่มาที่ไปของชื่อดังเดิมนี้คำว่า “นันยาง” มาจาก “หน่ำเอี๊ย” ในภาษาจีนแต้จิ๋วและจากในภาษาจีนกลางจะออกเสียงว่า “หนันยาง” แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมาถึงในบ้านเราบริษัทฯ ก็ได้ใช้เรียกทับศัพท์ภาษาจีนเป็น “นันยาง” ให้เรียกชื่อสินค้าได้ง่าย ดูเป็นคำไทยยิ่งขึ้น และนันยางในภาษาไทยก็มีคำที่มีความหมายอยู่ด้วยคือ ยางถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบสำคัญ นอกจากนี้ นันยางยังเป็นเจ้าแรกของไทยที่ใช้อักษรภาษา อังกฤษ ปักบนตัวสินค้าเพื่อให้ดูทันสมัยมีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่าเป็น “นันยางตราช้างดาว” ของแท้หรือของเทียม โดยดูได้จากคุณภาพความทนทาน ซึ่งบริษัทฯ รักษาไว้ตลอดมา ผู้บริโภคจึงเลือกให้ความไว้วางใจเรื่อยมา

LACOSTE..!!...

L A C O S T E





หากพูดถึงแบรนด์ดังระดับโลกโดยมี คุณตะเข้กำลังพะงาบปากบนเสื้อผ้าแล้วละก็(เกือบ)ทุกคนต้องรู้แน่ว่ามันคือ ยี่ห้อ"LACOSTE" แต่คุณรู้ไหม? ว่าผู้ที่ได้คิดค้นชื่อยี่ห้อตะเข้ดังก้องโลกอย่างนี้คือใคร? (ถ้ารู้แล้วจะเข้ามาอ่านทำ ขนมครกหรือไงฟะ!-ผู้อ่าน)




จริงๆแล้วคือนาย HENRI LACOSTE นักเทนนิสมืออาชีพ ระดับเซียน ชาว WATER GOOD SMELL (ศัพท์ใหม่ค่ะ เพิ่งบัญญิติเมื่อสามวิที่แล้ว WATER= น้ำ GOOD= ดี SMELL= กลิ่น เอามา ผสมตำปูปลาร้ารวมกันก็จะได้ น้ำกลิ่นดี ซึ่งก็หมายถึง น้ำหอมนั่นแหละค่ะ แล้วเมืองน้ำหอมระดับโลกมันจะมีสักกี่ที่กัน ((ก็ชาวฝรั่งเศษนะซิ-ตัวเจือกในใจ)) ให้ลองเดากันดูละกัน-ผู้เขียน) พอต่อมาอีตา HENRY เนี่ยเริ่มชักจะคิดว่า การเป็นนักเทนนิสได้เงินวันละ 10-20 ล้านเนี่ย มันน้อยไปหน่อย ไม่พอจ่ายค่าเสื้อผ้าคุณภรรเมีย พี่แกก็เลยถือโอกาสผลิตสิ้นค้าเสื้อผ้าที่มีชื่อตามยี่ห้อ วงษ์ตระกูลแกซะเลย ใน ปี ค.ศ.1933 และจระเข้ปากอ้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...



หลังจากทีพี่แกเบื่อตีลูกบอลสีเขียวๆเด้งไปเด้งมาอยู่เกือบทั้งชีวิต แต่เหตุไฉนเขาจึงเลือก อีตาจระเข้มาเป็นพรีเซ้นเตอร์หละ อันนี้มีคำตอบค่ะ เนื่องจากในตอนพี่แกยังสนุกกับเจ้าลูกเทนนิสอยู่เนี่ย ผู้คนทั่วทุกคนต่างชื่นชมแกเป็นหนักหนาในฝีมือการเล่นอันแสนร้ายกาจ จึงตั้งฉายาให้แกว่า Le crocodile ซึ่งได้จากการที่เขาหวดไม้แบดอัดคู่ต่อสู้เท่ากับความเร็วแสงและชนะไปอย่างขาดรอย 7 ครั้งรวดนะสิ(เอิม..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่ใช่เดอะปริ้นซ์ ออฟ เทนนิส แต่ชนะ 7ครั้งนี่ไม่ด้ายโม้~) เหตุฉะนี้นี่เองที่พี่เข้ของเราถึงมีคนรักนักรักหนาทั้งๆที่ลองเอาหัวสอดเข้าไปในปากพี่แกนิดเดียว ก็จะไม่มีหัวให้เห็นอีกต่อไป(อะ~จ๊าก!!! เสียงอุทานตกใจให้สมจริง-ผู้เขียนติ๊งต๊อง)






อ้างอิงจาก คอลัมน์ DID YOU KNOW ของนิตยสาร LI

PUMA...

P..U..M..A



..Adidas และ Puma เป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในโลกของกีฬา พวกนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมักใส่กัน แต่ทั้ง 2 แบรนด์มีประวัติศาสตร์ที่ขมขื่น โดย 2 พี่น้องชาวเยอรมัน ชื่อ Adi (แอดดิ) กับ Rudi (รูดิ) Dassler


ทั้งสองพี่น้องเกิดในเมืองของ Herzogenaurach ใน Bavaria (บาวาเรีย) ประเทศเยอรมัน ซึ่งเดิมเมืองนี้ยึดติดอยู่กับอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงงานส่วนใหญ่ถูกชักจูงให้เปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตรองเท้า แม้ว่า Adi ถูกฝึกให้เป็นคนทำขนมปัง แต่เขาไม่สามารถหางานได้หลังจบสงครามโลก ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำรองเท้าอยู่เบื้องหลังร้านซักรีด ในปี 1920 เป็นครั้งแรกที่รองเท้ากีฬาของAdiถูกนำไปใส่ในการแข่งขันกีฬา และ 4 ปีต่อมา Adi กับ Rudi ได้ก่อตั้งบริษัทรองเท้ากีฬาในชื่อ Dassler (ซึ่งเป็นนามสกุลของพวกเขาเอง) รองเท้าของพวกเขามีโลโก้คือ แถบสี 2 เส้น และใน The Berlin Olympics ปี 1936 รองเท้าของ Dassler ถูกสวมโดย Jesse Owens

เมื่อถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานถูกพวก Nazis เข้าครอบครองและสั่งให้ผลิตรองเท้าบูทเพื่อทหารของเยอรมัน และRudi ถูกเรียกตัวให้ร่วมรบกับกองทัพเยอรมันด้วย และเขาก็ถูกทหารของ Allied จับในฐานะนักโทษสงคราม เขาต้องใช้ชีวิตเป็นนักโทษสงครามอยู่ในค่ายทหารถึง 1 ปี หลังสงครามจบเขาก็ได้กลับมาที่ Herzogenaurach อีกครั้ง แต่เขาก็โกรธพี่ชายมาก ในปี 1948 Rudi ถอนตัวออกจากบริษัท และก่อตั้งบริษัทของเขาเอง ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขาโกรธกัน เรื่องแรกที่เป็นข้อสันนิษฐานที่ถูกพูดถึงคือ Rudi โกรธที่พี่ชายไม่พยายามจะช่วยเขา ในขณะที่เขาต้องถูกจับเป็นนักโทษ และอีกสาเหตุที่ถูกพูดถึงคือ แฟนสาวของ Rudi ไปตกหลุมรักกับ Adi ในขณะที่เขาทำสงคราม หากแต่ไม่มีใครที่รู้ข้อเท็จจริง และชื่อบริษัท Dassler ก็ได้หายไปจากโลก

สองพี่น้องมีความคิดที่แตกต่างกันที่จะใช้ชื่อ Dassler สำหรับสินค้าของพวกเขา บริษัทของ Rudi แต่เดิมเรียกว่า Ruda แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น Puma ในขณะที่ Adi ใช้ชื่อ Adidas โดยการรวมชื่อกับนามสกุลของเขา [Adi+Dassler=Adidas] โดยใช้ลักษณะเฉพาะของแถบ 3 แถบเป็นโลโก้ โดยเพิ่มเข้าไปอีก 1 แถบจากโลโก้ของ Dassler 2 บริษัทต่อสู้กันอย่างดุเดือด(ในฐานเศรษฐกิจ) ทั้ง 2 บริษัทมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง ตามที่ได้รู้มา กลุ่มคนงานของทั้ง 2 บริษัทจะดื่มเบียร์ต่างกันและให้ลูกหลานเรียนคนละที่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ 2 พี่น้องไม่เคยที่จะคืนดีกัน ข้อโต้แย้ง(และคำพูด)ของพวกเขาจะถูกแลกเปลี่ยนกันเฉพาะในชั้นศาลเท่านั้น แต่ทั้ง 2 บริษัทกลับประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ.....................................

adidas...







adidas


ในขณะที่ Adolph ได้ตั้ง adidas ขึ้นมา โดยตั้งตามชื่อเล่นของเขาคือ Adi รวมกันนามสกุล 3 ตัวแรกของเขา แบะใช้ตัว a เล็กเสมอในชื่อสินค้า เพื่อให้โดดเด่นออกมาจากยี่ห้ออื่นๆ และได้มีการใส่สัญลักษณ์ "Three Stripes" ลงไป เป็นเครื่องหมายการค้า ปี 1950 รองเท้ารุ่น Samba วางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ปี 1954 ทีมฟุตบอลทีมชาติเยอรมันได้ครองแชมป์โลกเป็นครั้งแรก ทั้งทีมได้สวมใส่สตั๊ดของ adidas ในช่วงพักครึ่งเวลา Adolph อยู่ที่นั่นด้วย และได้ปรับระดับรองเท้าสตั๊ดของนักบอลลงมาให้เข้ากับพื้นสนามด้วย ปี 1963 ลูกฟุตบอลลูกแรกของอดิดาสถูกผลิตออกมา


ปี 1978 Adi Dassler เสียชีวิตลงในวัย 78 ปี กิจการได้ถูกส่งต่อให้ Horst Dassler ลูกชายของเขา และในปีนี้ Adi Dassler เป็นชาวต่างชาติ (non-American) คนแรกที่ได้อยู่ใน American Sporting Goods Industry Hall of Fame (http://www.nsga.org) ปี 1987 Horst Dassler ก็เสียชีวิตลงในวัย 51 ปี ปี 1989 adidas ได้จัดตั้งเป็นบริษัท นิติบุคคลขึ้น แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของสมาชิกภายในครอบครัว ปี 1990 Bernard Tapie ได้กู้เงินมาซื้อกิจการของ adidas ไป $320 ล้านเหรียญ แต่เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้คืนแบงค์ได้ จึงได้ให้แบงค์ขายกิจการของเขาไป ปี 1993 Robert Louis-Dreyfus ได้เข้ามาซื้อกิจการของ adidas ต่อและขึ้นเป็น CEO ปี 1995 บริษัทก่อตั้งมาครบรอบ 75 ปี และหลังจากกิจการครอบครัว ถูกเปลี่ยนเป็นรูปแบบริษัท ในปีนี้ adidas ได้เข้าตลาดหุ้นในเยอรมัน







ปี 1997 adidas ได้เข้าควบคุมกิจการของ Salomon (มีสินค้าเช่น Salomon, TaylorMade, Mavic และ Bonfire) และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น adidas-Salomon AG ปี 2001 เปิดช็อป adidas Originals เป็นครั้งแรกที่กรุงเบอร์ลิน และ adidas Megastore ครั้งแรกที่ปารีส ปี 200
5 เดือนพฤษภาคม adidas ขาย Salomon และแบรนด์ย่อย Salomon, Mavic, Bonfire, Arc’Teryx และ Clich? ไปให้กับ Amer Sports Corporation เดือนกรกฎาคม เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ Porche Design Group ปี 2006 เดือนมกราคม adidas ประกาศว่าประสมความสำเร็จในการควบรวมกิจการกับ Reebok

NIKE..





NIKE แบรนด์รองเท้ากีฬาก้องโลกชื่อดัง กำเนิดขึ้นโดยสองหนุ่มที่ชื่อว่า Bill Bowerman และ Phil Knight ย้อนกลับไปในปี 1948 Bill Bowerman โค้ชคนเก่งแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน (The University of Oregon) ผู้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ทีมนักกีฬากรีฑาของเขาประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาครั้ง สำคัญต่างๆ ได้แก่ NCAA outdoor championships ในปี 1962, 1964, 1965 และ 1970 Bowerman ถูกจัดว่าเป็นโค้ชกีฬาวิ่งที่เยี่ยมสุดแห่งอเมริกาขณะนั้น ด้วยความสามารถที่ทำให้ทีมชาติอเมริกาสามารถพิชิตถึง 6 เหรียญทอง ใน Olympic สำหรับ Phil Knight



ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Nike เป็นอีกคนที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างรากฐานให้ธุรกิจเติบโต Knight ได้รู้จักกับ Bowerman ในฐานะที่เขาเป็นนักวิ่งอยู่ในทีมของ Bowerman ที่ The University of Oregon ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นถึงความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ด้วยความที่ทั้งสองคนมีความชื่นชอบด้านการกีฬาเป็นพิเศษ และต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่มีความเบาและทนทานสำหรับการแข่งขัน ในปี 1962 Knight ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลและพบว่ารองเท้ากีฬาจากประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดี และมีราคาถูกกว่าสินค้ากีฬาจากประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้นำตลาดในอเมริกาอยู่ขณะนั้น ซึ่งน่าจะสามารถมาทดแทนได้ - หลังจากที่ Knight จบการศึกษาทางด้าน MBA Knight ได้ออกท่องเที่ยวทั่วโลกโดยได้แวะไปที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขาได้มีโอกาสติดต่อกับ Onitsuka Tiger Company โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของญี่ปุ่น และชักชวนให้ Tiger ขยายตลาดเข้ามาในอเมริกา Knight ใช้ชื่อสินค้าว่า “Blue Ribbon Sports” หรือ BRS (ชื่อเดิมของ Nike)





ในปี 1964 Knight และ Bowerman ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท BRS Inc.ขึ้น Knight มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการเงินและการตลาด ส่วน Bowerman จะดูแลทางด้านการพัฒนาออกแบบรองเท้ากีฬา ในปี 1970 Bowerman ได้ทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวอฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งทำให้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านดีไซน์รองเท้ากีฬาสำหรับวิ่ง ที่รูปร่างหน้าตาพื้นรองเท้าเป็นช่องลงไปอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ปี 1971 Bowerman ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Nike Inc. (Nike คือเทพแห่งชัยชนะของกรีก) ในปีถัดมา BRS Inc. และ Onitsuka Tiger ได้แยกบริษัทออกจากกันอันเนื่องจากความขัดแย้งกันทางธุรกิจ และในปีเดียวกันนี้ BRS Inc. ก็ได้ออกแบรนด์ Nike ขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาสำหรับ Olympic



ในปี 1981 BRS Inc. และ Nike Inc. ได้รวมบริษัทเข้าด้วยกันเป็น Nike Inc. - ความสำเร็จทางการตลาดของ Nike ส่วนหนึ่งมาจากการที่ “M.J.” Michael Jordan นักบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ ร่วมงานกับ Nike ตั้งแต่ปี 1984 ตามด้วยการผลิตสินค้าที่ใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อ "Jordan" ในปี1997 ซึ่งในสหรัฐฯ สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของ “M.J.” แตกไลน์ออกไปโดยใช้ชื่อ "12-Star products" ซึ่งมาจากจุดที่ว่า “M.J.” ได้รับเลือกเป็นผู้เล่น All-Star Game ถึง12ครั้ง ความสำเร็จนี้ทำให้ไม่เพียงแต่นักบาสเกตบอลเท่านั้นที่หันมาใส่ชุดหรือใช้อุปกรณ์กีฬ าของ Nike นอกจากนี้ Nike ยังประสบความสำเร็จสูงสุดจากการออก campaign โฆษณาชุด “Just Do It” อีกด้วย - ปัจจุบัน Nike Inc. มีพนักงาน 23,000 คนทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือที่เมือง Oregon ประเทศอเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยในภูมิภาค Asia Pacific มียอดขายรองเท้า เสื้อผ้าแต่งกาย ในอัตราการเติบโตสูงสุด คือ 20% ยุโรป 17% และอเมริกา 4% ส่วนยอดขายรวมทั้งบริษัทของ Nike อยู่ที่ 10.7 พันล้านเหรียญ กีฬาสำคัญที่ Nike ได้ให้การสนับสนุน คือ Basketball Baseball American Football และ Tennis ฯลฯ การสนับสนุนทางการกีฬาของ Nike ปี 1999 Nike เป็นผู้สนับสนุน และออกแบบชุดกีฬาของทีมบาสเกตบอล Los Angeles Lakers Nike เซ็นสัญญาให้ Tiger Woods นัก Golf ชื่อดังของโลกเป็น Presenter ปี 2000 Nike ให้การออกแบบและสนับสนุนชุดแข่งขันให้กับทีมชาติสหรัฐฯ และชุดกีฬาทีมชาติอื่นๆ อีก 17 ประเทศ อาทิ Brazil Denmark Italy Poland Russia Australia Canada



Nike เป็นผู้ให้การสนับสนุนชุดแข่ง ทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ Borussia Dortmund ปี 2003 Nike ทำสัญญาสนับสนุน Major League ซึ่งเป็น League การแข่งขัน Baseballของสหรัฐฯ นานถึง 5 ปี ให้การสนับสนุนชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติ Turkey และ Mexico เซ็นสัญญาให้ Eddie George ตัววิ่งของทีม Tennessee Titans เข้ามาเป็น Presenter ให้สินค้าของ "M.J."